7 ปีกับโรงแรมในตำนาน โรงแรมที่เคยใหญ่ที่สุดในกรุงเทพ
ปกติจะเขียนแต่เรื่องที่เที่ยวกับอาหาร วันนี้ขอนอกเรื่องนิดนึงเพราะ วันที่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นวันปิดฉากของสถานที่ฝึกงานที่แรก ที่ทำงานที่แรก ได้เจอเจ้านายที่รักลูกน้องสุดๆ ได้เจอเพื่อนรักหลายๆคนที่ปัจจุบันก็ยังติดต่อกันอยู่ ได้เจอพี่ๆและเพื่อนๆร่วมงานทั้งวัยเดียวกันและต่างวัย
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จำได้ว่าต้องฝึกงานตอนอยู่ปี3 เลือกมาฝึกงานที่โรงแรมนี้เพราะไป-กลับสะดวก ตอนนั้นได้ฝึกที่แผนก banquet เป็นพนักงานเสิร์ฟ และต้องจัดโต๊ะ จัดของในงานเลี้ยง สิ่งที่ได้คือได้เห็นการทำงานของคนโรงแรมที่ไม่สามารถหาได้จากตำราหนังสือ ได้เห็นมิตรภาพระหว่างพี่ๆที่แผนกจัดเลี้ยง งานเลี้ยงเลิกก็เก็บโต๊ะเคลียร์ห้องจัดเลี้ยงสำหรับงานถัดไป พี่ๆทุกคนที่แผนกนี้จะเป็นคนที่คุยตลก เฮฮา มีเรื่องขำๆให้น้องๆฝึกงานหัวเราะกันแทบทุกวัน
พอเรียนจบ ไปชุบตัวที่ออสเตรเลียอีกเกือบปีเพราะเป็นโปรแกรมของมหาวิทยาลัย ก็ได้เรียนรู้ภาษาและงานโรงแรมเพิ่มเติมที่โรงแรมในเครือ Starwood กลับมายังไม่ทันหายใจ คุณแม่ไล่ให้ไปกรอกใบสมัครที่โรงแรมที่เราเคยฝึกงานมา ได้เริ่มงานในวันเกิดของตัวเองเมื่อปี 2000
จำได้ว่าพี่ที่ HR ที่เรากลัวคือ พี่อี่ เพราะหน้าแกดุ แต่พอได้รู้จักตัวจริง ไม่อยากจะบอกว่าใจดีสุดๆ ประโยคแรกที่แกพูดคือ น้องอยู่กับพี่ที่นี่แหละคะ พร้อมส่งสายตาอันเย็นยะเยือกมาให้เรา แหะๆ เราได้แต่ตอบ คะพี่ (เนื่องจากโรงแรมนี้มีหลายที่ในกรุงเทพ เลยถามพี่เค้าไป)
วันแรกเริ่มงานที่ Business Center เพราะยังไม่มีตำแหน่งลงที่ Front Desk ได้เจอกับพี่เล็ก ตอนแรกที่เจอรู้สึกเลยว่าพี่เค้าช่างเป็นแม่แบบของเลขา แต่เป็นเลขาที่ดูดีมีราศีมากกกกก พูดจาไพเราะ สุภาพ ทำงานเนี้ยบ อืม คิดในใจตรูจะทำได้แบบพี่เค้ามั๊ยเนี่ย พอทำได้ไม่กี่เดือนก็ได้ย้ายมาที่ Front Office เพราะมีตำแหน่งว่าง ตอนนั้น Front office แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ Check-in, Cashier, Information และมีพี่วินเป็น Front office Manager ตอนนั้นเป็นเด็กเข้าใหม่ยังไม่รู้จักใคร อยากทำตรง check in มาก เวียนทำงานของทั้งสามส่วนหมด แต่สุดท้ายโดนจับลง cashier คิดในใจทำไมต้องเป็นตรู คือเกลียดตัวเลขมาก ได้เกรดแบบฉิวเฉียดตลอด แต่ดันต้องมาทำงานเกี่ยวกับเงิน แถมตอนนั้นพี่ๆที่ cashier มีแต่รุ่นเดอะ ทำงานกันมาหลายปี เราเด็กสุด กลัวก็กลัวไม่กล้าถาม เพราะไม่อยากโดนดุ แหมหน้าแต่ละคนก็เข้มๆกันทั้งน้านนน เลยเน้นจดเอา ทำงานไปเปิดตำราไป งานเอกสารก็เยอะ บิลที่ต้องใส่ใน rack ของแขกแต่ละห้องก็เยอะ คือโรงแรมมี 1,250 ห้อง เอง สมัยเราทำยังมีบิลโทรศัพท์ที่ print ออกมาจากเครื่องตรงหน้า front แบ่งเป็น 3 copy ต้องมายืนฉีกและแบ่งบิลตรงหน้า front คือมันเป็นอะไรที่เยอะมาก ดีใจสุดๆตอนที่เค้ายกเลิกระบบนี้ (Thanks to P’Bee ><) ตอนทำที่ cashier เป็นอะไรที่โหดมากแขกขี้วีนมีเยอะ จำได้ว่ามีสายการบินของอินโดนีเซียมาพักที่นี่ประจำและมักจะมีปัญหากับการใช้ coupon ที่ร้านอาหารในโรงแรม Parkview coffee shop เสมอเพราะชอบเอาไปให้เพื่อนที่มา flight อื่นและ check in วันอื่นเอาไปใช้ คือรีบๆมา check out แต่พนักงานอย่างเราต้องอ่าน remark ดีๆ ดูบิลแถมต้องตัดบิลให้ถูกอีกถ้ามีค่าใช้จ่ายส่วนเกินก็ต้องเก็บให้ถูกอีก ต้องมาคอยจับผิดบนบิลว่าพวกคุณๆทั้งหลายใช้coupon ของตัวเองรึเปล่า แถมบางทีบิลมาช้าแต่พวก flight attendant ทานเสร็จแล้วเดินมา check out เลย เราต้องรอดูบิลตัวจริง ไม่งั้นถ้าคิดผิด เราต้องเป็นคนจ่ายเงินเอง (เงินเดือนก็น้อย service charge นี่ไม่ต้องหวังว่าจะถึง 5,000บาท) พอช้าพวกนางบางคนก็บ่น คิดในใจมีปัญหาอะไรก็จะมาจบตอน check out ทุกที ด่านสุดท้ายที่ไม่ค่อยได้ compliments จากแขกซักเท่าไหร่เพราะแขกไม่พอใจอะไรจากตลอดระยะเวลาที่พักที่โรงแรม ก็จะมาจบที่นี่ ราคาห้องพักไม่ใช่ราคานี้ ไม่เห็นเหมือนที่คุยกะ Sale เลย พอเราถามว่ามีเอกสารยืนยันมั๊ย ไม่มี อืม ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ยังไม่ 6 โมงเช้า แขกเข้าคิว check out ยาวมากแถม ทุกคนยุ่งหมด ไม่สามารถติดต่อใครได้ ก็โดนด่าไปตามระเบียบ แต่ที่สุดๆคือ แขกคนไทยผู้ชายเดินมาที่ cashier เพื่อขอยืมปากกา ขอบอกก่อนว่าสมัยนั้น budget น้อยต้องซื้อปากกาใช้เองด้วย เราก็ให้ไปและก็ยืนทำงานต่อ ตอนนั้น จำได้ว่าดูบิลของแขก long stay ห้องนึงอยู่ ใครที่เป็น front cashier ของที่นี่จะรู้ว่า มันต้องมีสมาธิในการทำมาก เรามัวแต่จ้องหน้าจอเลยไม่ทันรู้ตัวว่าแขกคนนั้นเดินเอาปากกามาคืน เราก็ขอโทษแล้วยิ้มให้ ฮีวางปากกาบน counter แล้วมองหน้าเราด้วยความโกรธ ว่าลูกค้าให้ปากกาแล้วต้องขอบคุณสิ เอ่อ อึ้งไปด้วยความงงว่า ตรูให้ยืมปากกาแล้วตรูต้องขอบคุณคนที่มายืมด้วย โกรธมากแต่ทำอะไรไม่ได้เลยเอา alcohol มาเช็ดปากกาที่ฮียืมไป แล้วก็ยืนทำงานต่อ
พอหอมปากหอมคอเท่านี้ก่อน คราวหน้าจะมาต่อเรื่องมันส์ๆ ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วถ้าไม่ใช่คนโรงแรม โปรดติดตามชมตอนต่อไป…
เพื่อนๆคนไหนมีประสบการณ์แสบๆ ตลกๆหรือประทับใจก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ 🙂
เร็วๆเลย รออ่านตอนสองอยู่
Do you like it? Please feel free to share your experiences na my friend 🙂